้
เมื่อเรายืนมองมุมที่แตกต่างกันภาพที่เราเห็นย่อมจะไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด
อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเลยกับคนอีกคนหนึ่งก็ได้ เราจึงไม่ควรนำความรู้สึกของเราไปตัดสินใคร
อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจในตัวลูกชายวัยห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนใน
โรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัว
ของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อ
การสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับ
ถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐี ก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า ...
1. ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้อง
ทำงานของชาวนา
2. อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบ ๆ บริเวณบ้าน โดยไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้าน
ของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
3. เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้า พร้อมตาพ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
4. ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้อง
นั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่
5. ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขามีเพียง
แสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
6. ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ และภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแต่กำแพงบล็อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
7. ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า ... จริง ๆ แล้ว เรายากจนกว่าชาวนามาก
ฝากไว้ให้คิด... ลูกเศรษฐีกับลูกชาวนา
เมื่อเรายืนมองมุมที่แตกต่างกันภาพที่เราเห็นย่อมจะไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่บางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด
อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายอะไรเลยกับคนอีกคนหนึ่งก็ได้ เราจึงไม่ควรนำความรู้สึกของเราไปตัดสินใคร
อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจในตัวลูกชายวัยห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนใน
โรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัว
ของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน
ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อ
การสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับ
ถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐี ก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น
ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า ...
1. ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้อง
ทำงานของชาวนา
2. อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบ ๆ บริเวณบ้าน โดยไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้าน
ของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
3. เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้า พร้อมตาพ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร
กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
4. ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้อง
นั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่
5. ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน แต่เขามีเพียง
แสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
6. ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ และภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแต่กำแพงบล็อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
7. ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย
เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า ... จริง ๆ แล้ว เรายากจนกว่าชาวนามาก